วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

The Secret



The Secret เป็นนิยายต่างประเทศชิ้นนึงที่ผมชอบมาก เพราะมันเป็นการบอกได้อย่างดีเลยว่า ชีวิตคนเรามันจะเป็นไปตามที่เราคิดเสมอ

ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับ แรงดึงดูดมาบ้าง ไม่มากก็น้อย สิ่งที่ผมจะมานำเสนอในนี้คือ เรื่องราวของกฏแห่งแรงดึงดูด ซึ่งผมจะขออธิบายคร่าวๆ ก็แล้วกันเพราะว่าเนื้อหาข้อมูลส่วนใหญ่จะอยู่ในหนังสืออยู่แล้ว ก็สามารถไปหาอ่านกันได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป

ทุกคนน่าจะรู้จักคำว่า imagine กันอย่างดี หรือที่แปลว่า "จินตนาการ" เคยได้ยินนักวิทยาศาสตร์แห่งยุค กล่าวไว้ไหมครับว่า "จิตนาการ สำคัญกว่าความรู้" อันนี้เป็นเรื่องจริงครับ

คนเราจะประสบความสำเร็จได้ ไม่ได้เกิดจากการมีความรู้เพียงอย่างเดียว แต่มันเกิดจากจินตนาการครับ จินตนาการมาจากจิตใต้สำนึก ที่คิดทุกอย่างเป็นภาพ สมองจะจำภาพ และสี ได้ดีกว่า ตัวอักษรที่เป็นขาวและดำ หรือจากเสียงที่ได้ยิน

ภาพที่เกิดจากจินตนาการ จะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด สามารถคิดถึงในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และกลับทำให้มันเป็นจริงได้ พลังแห่งจินตนาการ จะเป็นพลังที่จะก่อให้เกิดความสำเร็จได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ทุกอย่างบนโลกนี้ เกิดขึ้นจากจินตนาการของมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนวตกรรม เทคโนโลยี หรือสิ่งปลูกสร้างรูปร่างแปลกๆ ต่างๆ ก็มาจากจินาตนาการของมนุษย์ทั้งหมด

จินตนาการ ก็คือ the secret น่ะแหละ ถ้าเราลองจิตนาการนึกถึงเวลาที่เราประสบความสำเร็จ เราจะมีชีวิตอย่างไร คนที่เรารัก พ่อแม่ของเราจะมีชีวิตอย่างไรในตอนนั้น ซึ่งพลังแห่งจินตนาการสู่ความสำเร็จ ขอให้เราทำในเชิงบวก ไม่ใช่การจินตนาการในเชิงลบ ถ้าเราจินตนาการในเชิงลบ ก็อาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์ตามที่เราคิดก็ได้ เช่น พรุ่งนี้รถจะโดนยึด พรุ่งนี้จะไม่มีเงินกินข้าว คือความคิดทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นความคิดเชิงลบ ที่เป็นตัวการทำให้เราล้มเหลว ที่จริงเราก็ไม่ได้ต้องการชีวิตที่มันติดลบขนาดหรอก จริงไหม

เพราะฉะนั้นถ้าเราจะแก้ เราก็ต้องแก้ที่วิธีคิดของเราก่อน ปรับให้วิธีคิดของเราเป็นบวกให้ได้ก่อน เราจินตนาการในเชิงบวกให้ได้ คิดถึงความสำเร็จ คิดถึงแต่ทางออก คิดถึงแต่ solution ไว้ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร เราก็จะสามารถหาทางออกได้อย่างง่ายดาย

อย่าพยายามตัดพ้อชีวิตตัวเอง จริงอยู่ว่า ความตายเป็นเรื่องสัจจะธรรม ที่ทุกคนเกิดมาก็ต้องตายอยู่แล้ว แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตอนตาย แต่มันอยู่ที่ตอนเรามีชีวิตอยู่ต่างหาก เราได้ทำอะไรทิ้งไว้ให้ลูกหลานบ้าง หรือทิ้งอะไรไว้ให้โลกได้จดจำบ้าง เกิดมาทั้งทีแต่กลับใช้ชีวิตไม่คุ้มกับที่เกิดมา จะเกิดมาเพื่ออะไรครับ ชีวิตคนเราทุกคนต่างก็มีคุณค่าในตัวของมันเอง ใช้คุณค่านั้นให้มันเกิดประโยชน์กับสังคม ให้มันเกิดประโยชน์กับสังคมทั่วโลก ไม่ดีกว่าเหรอ


บิล เกตส์ เจ้าของบริษัทไมโครซอฟต์ ได้กล่าวไว้ว่า "คุณเกิดมาจนไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่คุณตายทั้งที่ยังจนอยู่ นั่นเป็นความผิดของคุณ"



ซึ่งก็หมายความว่า ชีวิตคนเราน่ะมันเลือกเกิดไม่ได้ เกิดมาจนไม่ใช่เรื่องผิด คนเรามีสิทธิ์เลือกที่จะฝัน และเดินตามความฝันนั้น
แต่ถ้าคุณเกิดมาจน แต่ดันไปยอมแพ้กับชีวิต ตัดพ้อกับชีวิตตัวเองว่า เราคงไม่มีวันรวยได้ เราคงเป็นอย่างนี้ ชีวิตเราถูกลิขิตมาให้เป็นแบบนี้ สุดท้ายเราก็ตายไปพร้อมกับความจน เพราะความคิดแบบนี้ทำให้คนเราแพ้ตั้งแต่ครั้งที่เริ่มคิดแล้ว

ดังนั้นเราเกิดมาทั้งที น่าจะทำให้อะไรให้มันมีประโยชน์ต่อโลก มีประโยชน์ต่อสังคม ให้โลกได้จดจำบ้าง เราก็จินตนาการไว้ว่า เราอยากจะทำอะไรให้โลกได้จดจำเราได้บ้างทางบวก

อย่าลืมนะครับว่า แม้กายจะแตกสลาย แต่ชื่อจะยังคงอยู่ ดังนั้นขอให้เชื่อมั่นว่า เราจะสามารถทำได้ และประสบความสำเร็จได้

คิดไว้เสมอว่า ใจคุณเห็นสิ่งใด ในอนาคตมือคุณจะได้สิ่งนั้น สร้างพลัง สร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง ขอให้คุณเชื่อมั่นและศรัทธาในความฝันของตัวเอง ว่าคุณจะได้มันมาแน่ๆ และไม่ว่ายังไงก็ต้องได้มัน มันจะต้องเกิดขึ้นจริง

เคล็ดไม่ลับในการครองใจผู้คน

มีหนังสือมากมายหลายเล่ม ที่เขียนเกี่ยวกับเคล็ดลับในการครองใจผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่ ก็จะกล่าวไว้เหมือนๆ กัน ในการที่จะเข้าไปอยู่ในใจผู้คนได้นั้น ก็อีกหนึ่งทักษะสำคัญที่ผู้นำควรจะเรียนรู้ไว้ เพราะการที่ผู้นำจะทำงานกับนับร้อย นับพัน นับหมื่นได้ เขาจะเป็นผู้ที่มีความสามารถในการสื่อสารให้ถึงใจ และการช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งจะมีทักษะที่สำคัญ ดังนี้คือ
  1. ทักษะของการฟัง 
    การฟังในที่นี้ไม่ใช่แค่ได้ยินผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาเท่านั้น แต่เป็นการฟังอย่างตั้งใจว่า อีกฝ่ายพูดอะไร และต้องการสื่อสารอะไรให้เรารับรู้ การฟังที่จะทำให้เราได้รับข้อมูลที่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน

    คนส่วนใหญ่ เปิดที่การฟังให้กับคนใกล้ตัวไม่ถึง 100% ทำให้เขาไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน และทำให้มีปัญหาในการสื่อสารในที่สุด ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการสื่อสาร คือการเปิดพื้นที่การฟังแบบ 100% ฟังแบบประมาณว่า เราเป็นโง่ เราไม่เคยรู้อะไรมาก่อน และมีความใคร่กระหายที่จะเรียนรู้ผ่านการฟัง

    คงไม่มีใครชอบหรอก กับการที่เจอหน้าใครก็พูดแต่เรื่องของตัวเองอย่างเดียว ที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าในทางกลับกัน เราเลือกที่จะฟัง และถามเรื่องความเป็นอยู่ของเขา แน่นอนว่า นี่เป็นประตูใจด่านแรกที่เขาจะเปิดให้เราก้าวเท้าเข้าไปข้างในได้

    อย่าลืมนะว่า ร่างกายมนุษย์เราก็เป็นปริศนาธรรมเช่น เรามีหู 2 หู แต่เรามีปาก 1 ปาก นั่นหมายความว่า เราต้องฟังให้มาก พูดให้น้อย จะทำให้เราได้เรียนรู้อะไรที่มากขึ้นจากการฟัง
  2. ทักษะการพูด


    ทักษะของการพูด ก็เป็นสิ่งสำคัญรองจากการฟัง เพราะการพูดนั้นจะเป็นการสื่อสารสิ่งที่เราต้องการอยากจะให้ผู้อื่นได้เข้าใจสิ่งที่เราอยากจะผู้อื่นรับรู้ หรือปฏิบัติตาม แต่การพูดส่วนใหญ่แล้วคนเรามักจะพูดแต่เรื่องลบๆ เรื่องที่ทำให้หมดพลัง ต่อว่า ตัดพ้อตัวเอง ที่มันเป็นพลังงานลบทำให้เราสภาพจิตใจของตัวเองดิ่งลงเหว หมดพลัง หมดไฟที่จะทำอะไรต่อไป

    ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ การพูดกับตัวเอง หรือ self talk ทุกวันนี้เราถามตัวเองสิว่า เราพูดเรื่องอะไรกับตัวเองบ้าง เรื่องที่เราพูด เป็นเรื่องที่ทำให้ตัวเองมีพลังหรือ มีกำลังใจ หรือมีความมั่นใจมากขึ้นไหม บางทีเราก็ไม่ต้องพูดสุภาพกับตัวเองก็ได้ แต่คำพูดที่เราพูดกับตัวเองนั้น ควรจะเป็นคำพูดที่ปลุกพลังให้เรามีชีวิตชีวามากขึ้น มีพลังมากขึ้น เพราะมันจะคนที่อยู่ใกล้ตัว จะสัมผัสได้ถึงพลังที่เอ่อล้นออกมา ทำให้เขาพลอยรู้สึกได้รับพลังนั้น ได้รับความมั่นใจเพิ่มขึ้นไปด้วย

    เมื่อคนใกล้ตัวสัมผัสได้จากสิ่งที่เราส่งออกจากคำพูด จากความมั่นใจของเรา เราจะสามารถสื่อสารกับเขาได้ง่ายขึ้น เพราะเขาเห็นความชัดเจนของเรา อยู่ใกล้เรา ได้คุยกับเราแล้วทำให้เขารู้สึกมีความสุขไปกับเราได้

    แต่บางทีเรื่องนี้มันก็ไม่ได้ฝึกกันง่ายๆ มันต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะการที่จะฝึกให้คนเรามีวิธีคิดที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดี มองทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ใครทุกคนจะฝึกได้สำเร็จหมด เพียงแต่ว่ามันต้องอาศัยความตั้งใจจริง เพราะคนส่วนใหญ่ จะติดนิสัยชอบอ่อนน้อมถ่อมตน เกรงใจ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดนะ แต่บางทีเราสิ่งเหล่านี้ผิดที่ ผิดเวลาไปหน่อยเท่านั้นเอง และติดนิสัยชอบคิดลบ ชอบปลงกับอะไรที่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะปลงในเวลานี้ เลยทำให้เวลาเขาพูดกับตัวเอง เขาจะไม่มีความมั่นใจ เมื่อไม่มีความมั่นใจ ก็จะขาดพลังในการพูด เมื่อขาดพลังในการพูด ก็ทำให้คนที่อยู่ใกล้ตัวอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอึดอัด คุยด้วยแล้วไม่อยากจะคุยต่อ เพราะคุยแล้วไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญ เราก็ควรฝึกทักษะการพูดในการเสริมพลังงานด้านบวกให้กับตัวเองด้วย เมื่อเราคิดบวก เราก็จะพูดบวก มันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเราคิดแล้วจะพูดบวก แล้วคิดบวกจะพูดลบ เวลาเราคิดอะไร เวลาพูดเราก็จะพูดตามนั้น

    แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เราควรจะคิดทุกอย่างก่อนจะพูด แต่ไม่ใช่พูดทุกอย่างที่คิด เพราะคำพูดนั้นสามารถทำลายได้ แม้กระทั่งชีวิตคน และในขณะเดียวกันมันก็สามารถสร้างชีวิตคนได้เหมือนกัน
    และในแต่ละคนก็ใช้คำพูดไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละคนทุกเลี้ยงดูมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ดังนั้นภาษา คำพูดที่ใช้พูด ก็จะแตกต่างกันไปตามสภาพกันเลี้ยงของแต่ละคนด้วย ฉะนั้น ควรจะคิดให้ดีๆ ก่อนจะพูดอะไร และคนที่เราพูดด้วยนั้นเป็นใคร

  3. บุคลิกภาพ 
     แน่นอนว่า บุคคลิกภาพก็เป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกันสำหรับคนที่ต้องการจะเป็นผู้นำ เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับความหน้าเชื่อถือ ของคนที่จะตามเรามาด้วย เพราะฉะนั้นบุคคลิกภาพของผู้นำ จะต้องเป็นบุคคลิกที่เรียบร้อย เสื้อผ้า หน้าผม ตั้งแต่หัวจรดปลายรองเท้า ที่สำคัญคือเรื่องกลิ่นปาก กลิ่นตัว กลิ่นเท้า เป็นอะไรที่ต้องซีเรียสที่สุด เวลาที่เราคุยกับคนอื่น ถ้ามีกลิ่นปากออกมานี่ มันเริ่มเสียบุคคลิก กลิ่นตัว กลิ่นเท้า ก็ต้องดูแลให้ดี ความสะอาดของเสื้อผ้า ร่างกายก็ต้องดูแลให้ดี เพื่อให้เกิดความมั่นใจ อย่าลืมว่า first impression ก็เป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน ในการเจอหน้ากับคนอื่นๆ อย่าพยายามทำให้ตัวเองเหงื่อออกเยอะเกินไป เพราะเหงื่อจะทำให้เกิดกลิ่นกาย และกลิ่นอับในรองเท้า เวลาที่เราคุยกับใครกลิ่นออก จะทำให้เราเสียบุคลิก และเสียเครดิตได้ ฉะนั้นเรื่องบุคคลิกภาพต้องดูแลให้ดี
  4. สัจจะวาจา พันธสัญญา

    จะว่าเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพันธะสัญญา ก็อาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดก็ได้ เพราะการที่เราลั่นคำพูดอะไรไปนั่น มันเหมือนคำศักดิ์สิทธิ์ ที่จะบังคับให้เราทำตามในสิ่งที่เราพูดไป

    ผู้นำในตำนานทุกๆ คน ก็จะเป็นเช่นนั้น ถ้าเราให้สัญญากับใครไว้แล้ว ทำไม่ได้ขึ้นมา ก็เท่ากับว่า เรากำลังทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจ กำลังทำลายเครดิตที่มีต่อกันลง เหมือนดั่งที่ นโปเลียน โบนาปาด แห่งฝรั่งเศษเคยกล่าวไว้ว่า "การรักษาสัญญาที่ดีสุด คือการไม่ให้คำมั่นสัญญากับใคร"

    ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ จะโยนวิสัยทัศน์ตัวเองออกไป และเดินตามคำพูดนั้นเสมอ โดยไม่ปล่อยให้คำพูดตัวกลายเป็นอากาศลอยจางหายไป เพราะคนที่ฟัง เค้าก็คาดหวังจากในคำพูดนั้นเหมือนกัน

    นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถึงมากที่สุด และจำเป็นต้องศึกษาให้ดี เพราะสิ่งเหล่านี้มันมีติดตัวอยู่ในคนทุกคนอยู่แล้ว และอีกอย่างมันฝึกฝนกันยากมาก และยากที่จะถ่ายทอดเช่นกัน เพราะมันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเท่านั้น ว่าจะให้ความสำคัญกับ สัจจะวาจา พันธสัญญาขนาดไหน

    หลายๆ คนลั่นวาจาไปแล้ว ก็อาจจะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังดีที่ได้ทำตามที่ลั่นไป แต่หลายๆ คนกลับแย่กว่านั้น ลั่นวาจาไปแล้ว กลับไม่ยอมลงมือทำอะไรเลยก็มี สุดท้ายก็เหมือนกับพวกที่ดีแต่ปากนั่นแหละ คอยมอบความหวังให้ชาวบ้านแบบลมๆ แล้งๆ แต่ไม่มีผลงานอะไรให้เห็น คนพวกนี้นอกจากชาวบ้านจะไม่รักแล้ว ยังโดนด่าซ้ำกลับมาอีก

    ฉะนั้นก่อนจะสัญญาอะไรออกไป ขอให้ใตร่ตรองให้แน่ใจซะก่อนว่า เราจะสามารถทำตามที่สิ่งที่เรากำลังพูดไปได้จริงๆ ถ้าหากไม่แล้ว อย่าสัญญาอะไรโดยพลการดีกว่า
  5. ความเป็นผู้ให้
    หลายๆ คนคงจะทราบดีว่า ภาวะความเป็นผู้ให้นั้น ก็เป็นภาวะที่ต้องฝึกเหมือนกัน เราเคยได้คำพูดว่า "จิตของผู้ให้ย่อมสง่า จิตของผู้รับย่อมน้อบน้อม" ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คนที่เราความคิดที่เราอยากจะให้ผู้อื่น เราจะมีความสุขมากกว่าขอจากผู้อื่น แต่จริงๆ แล้วการ "ขอ" ก็ไม่ผิดหรอก แต่การ "ขอ" ต้องมาพร้อมกับความเชื่อว่า เราได้รับแล้วมันแล้วจริงๆ ซึ่งมันก็เป็น the secret อย่างนึงนะ แต่ในที่เราจะพูดถึงเรื่องของการ "ให้" มากกว่า

    การที่เราจะอยู่สภาวะจิตของการให้ มันขึ้นอยู่กับวิธีคิดเราว่า เรากำลังคิดอะไรกับคนที่เราจะให้ เราปราถนาดีกับเขาหรือเปล่า เราต้องการอะไรตอบแทนจากเขาหรือเปล่า ถ้าเราคิดว่า เรากำลังจะไปเอาอะไรจากเขา แน่นอนว่าเขาจะมีกำแพงบางๆ กั้นไว้อยู่ เพราะจะไม่สามารถที่จะเข้าไปได้เลย เพราะฉะนั้นสภาวะจิตของความเป็นผู้ให้นั้นก็สำคัญ

    คือเราต้องมองอย่างนี้ เราต้องทำในสิ่งที่เราไม่คาดหวังผลตอบแทน เราทำเพื่อวัตถุประสงค์เดียวคือ ต้องการให้ชีวิตของเขาเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แค่นั้น ถ้าเขาไม่ประสงค์เช่นนั้นก็จงปล่อยให้เค้าใช้ชีวิตอย่างเดิมไป จงอย่าไปคาดคั้น จงไปอย่าไปบีบบังคับ เพราะโดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่ไม่ชอบการถูกบังคับ ยกเว้นว่า จะยินยอมให้บังคับ

    ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ นายเอกับนายบี เป็นเพื่อนกันมาสมัยเด็ก จนถึงปัจจุบัน เวลานายบีเดือดร้อน ก็ได้รับการช่วยเหลือจากนายเออยู่ตลอด อยู่มาวันนึงนายเอถูกรางวัลที่ 1 เงินรางวัลประมาณ 30 ล้านบาท นายเอนำไปแลกรางวัล ปรากฏว่าเครื่องนับเสียทั้งหมด ต้องนั่งนับมือ กว่าจะเสร็จล่อไปเที่ยงคืน จนถึงเกือบตี 2 พอนับเสร็จ แลกรางวัลเรียบร้อย กำลังจะเอาเงินไปให้นายบี ที่เป็นเพื่อนสมัยเด็ก 4 แสน พอไปถึงหน้าบ้านนายบี ตกเวลาประมาณตี 3 เกือบตี 4 ลองเดาดูสิ ว่านายเอจะทำยังไง  ต้องการเอาเงินให้เพื่อน 4 แสน คิดว่านายเอจะกล้าปลุกเพื่อนไหม แน่นอนเค้ากล้าแม้กระทั่งหาหินปาขึ้นไปบนห้อง เพื่อให้นายบีลงมาเอาเงิน แต่ถ้านายบีไม่รับเงินของนายเอ นายเอจำเป็นต้องลงไปนอนร้องไห้กับพื้นไหม ว่านายบีไม่รับเงินเขาเนี่ยะ นายเออาจจะคิดว่า "เออ ดี เงินอยู่ครบ จะได้เอาไปให้คนอื่นต่อ"

    แต่ถ้าเป็นในทางกลับกันสำหรับผู้ขอ หรือผู้รับ ขอยกตัวอย่างนางซี กับนางดี ก็แล้วกัน วันนึงนางซีต้องการใช้เงินด่วนจำนวน 5 หมื่นบาท กำลังจะไปขอยืมนางดี ที่เป็นเพื่อนสนิท พอไปถึงหน้าบ้านนางดี ช่วงเวลาเย็น ปรากฏว่านางดีกำลังเตรียมกับข้าวเตรียมอาหารให้ลูกอยู่ จะพูดเรื่องเงินก็ไม่ได้ด้วยความเกรงใจ จึงตัดสินใจรอ ครอบครัวเค้าทานอาหารเสร็จ ก็กำลังจะไปกดออด แต่นางซีเห็นนางดี กำลังนั่งดูละครตอนจบอยู่กับครัว สำคัญมาก ไม่กล้ากดเกรงใจ จึงรอจนละครจบ ปรากฏว่าลูกเค้าหาวแล้ว กำลังจะพาลูกเข้านอน จะพูดเรื่องเงินก็ไม่ได้ สรุปแล้ววันนั้นไม่ได้เงิน

    นี่แหละ ที่บอกว่า "จิตของผู้ให้ย่อมสง่า จิตของผู้รับย่อมน้อบน้อม" ที่จริงก็สามารถเลือกที่จะเป็นทั้งสองสิ่งในคนเดียวกันก็ได้เช่นกัน

การฝึกผู้นำตามแบบฉบับของอินทรี


การฝึกผู้นำตามแบบฉบับของอินทรี

อย่างที่เคยได้กล่าวไปแล้วในคุณสมบัติของนกอินทรี คือนกอินทรีจะเปรียบเสมือนโค้ช ที่จะทำให้ดูและจะคอยฝึกให้ลอยน้อยทำตาม เพื่อลูกๆ ของสามารถดำรงชีวิตอยู่ด้วยตนเองได้ ซึ่งจะมีขั้นตอนที่จะสรุปสั้นๆ ได้ดังนี้ คือ
  1. ทำให้เขาดู  ในการเปรียบเทียบกับนกอินทรีตรงนี้ คือ เริ่มแรกแม่นกอินทรีจะบินให้ดูก่อน และพาลูกน้อยออกไปสัมผัสกับบรรยกาศในการบิน สัมผัสกับท้องอันกว้างไกล ให้เคยชินกับมัน ก็เหมือนการทำงานของคน คนที่เป็นรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อน ก็จะทำให้คนที่เป็นรุ่นน้องดู ว่าเวลาทำงานเขาทำกันยังไง ดูยังไงพูดยังไง ลักษณะท่าทางเป็นยังไง ให้เขาได้เรียนรู้จากการทำงานจริง อาจจะสื่อสารกับเขาว่าจะทำให้ดูกี่ครั้ง
  2. ให้เขาทำให้ดู  ถ้าเปรียบเหมือนนกอินทรีคือ การปล่อยลูกให้บินอยู่กลางอากาศด้วยตนเอง หัดกระพือปีกด้วยตนเอง แม้ว่าในช่วงแรกอาจจะยังไม่ได้ผล อาจจะยังไม่ชิน แต่ถ้าฝึกซ้ำๆ กับจะสามารถบินได้เอง หากระหว่างมีพลาด ก็ยังมีโค้ชคอยช่วยคอยประคองอยู่ ก็เหมือนกับในงานประจำที่เราทำๆ กันอยู่ รุ่นพี่ก็เปรียบเสมือนโค้ช ที่เขาทำงานให้เราดูแล้ว เขาจะให้เราทำ แล้วเขาจะนั่งดูว่าเราทำถูกต้องไหม มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า หากมีอะไรผิดพลาด เขาก็จะปรับปรุงแก้ไขกับเรา เพื่อให้ในคราวเราก็จะสามารถทำงานได้ถูกต้องมากขึ้น
  3. เขาทำด้วยตัวเขาเอง ก็เปรียบเสมือนกับว่า ลูกนกอินทรีที่ผ่านการฝึกบิน ฝึกหาอาหารเองได้แล้ว จากหลักสูตรการบินและการเอาตัวรอดจากโค้ชผู้เป็นแม่ เขาก็จะออกหากินด้วยตัวเอง ออกบินไปบนท้องฟ้าด้วยตัวเอง แต่ถ้าเป็นงานที่เราทำ คือเราออกทำด้วยตัวเองได้แล้ว (แต่บางครั้งผู้เป็นโค้ช ก็ต้องคอยดูว่าการดำรงชีวิตด้วยตัวเองของเขาไปได้สวยหรือเปล่า)
  4. เขาทำให้คนอื่นดู ถ้าเปรียบเสมือนนกอินทรี ก็เปรียบเสมือนว่า นกอินทรีตัวนี้มีลูก และได้กระทำการเหมือนที่ในอดีตโค้ชผู้เป็นแม่เคยทำให้เขาดูเช่นเดียวกัน นกอินทรีจะสอนทุกอย่างให้ลูก เหมือนที่แม่นกอินทรี เคยสอนตัวเองในสมัยก่อน ก็เปรียบเสมือนกับคนงานที่เราทำอยู่ เมื่อเรามีน้องใหม่เข้ามาร่วมงาน เราก็ต้องคอยสอนงานให้กับน้องใหม่ เหมือนที่รุ่นเคยสอนเราเมื่อครั้งเรายังเป็นน้องใหม่เหมือนกัน
  5. ให้คนอื่นทำให้เขาดู เช่นกับข้อ 2 เพียงแต่ว่าจะเป็นการสลับตำแหน่งกัน จากที่อดีตลูกนอินทรีถูกปล่อยลงกลางอากาศ กลายเป็นนกอินทรี ต้องปล่อยลูกตัวเองกลางอากาศเอง และบินไปรับ จนกว่าลูกของนกอินทรีจะบินเป็น เช่นกันกับงานประจำ ก็เราจะดูรุ่นน้องเรา สอนงานให้กับน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานนั่นเอง และเราก็คอยดูเขาทำงานถูกต้องหรือเปล่าและช่วยกันแก้ไข

เมื่อฉันต้องการเป็นนกอินทรี

When I want to be an eagle.
เมื่อฉันต้องการเป็นนกอินทรี


ทุกๆ คนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า นกอินทรีเป็นสัตว์ปีกที่สง่างามที่สุด ยิ่งเวลาสหยายปีกยิ่งดูสง่างามมาก ลองนึกดูสิว่า เวลาที่นกอินทรีบินอยู่บนท้องฟ้าแล้วมีคนเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วรู้สึกยังไง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการบิน ถึงอาจจะยังสู้เหยี่ยวไม่ได้ แต่เรื่องขนาด กับความสง่างาม ต้องเรียกได้เลยว่า อินทรีนี่ยังไงก็กินขาดจริงๆ

ที่มาเล่าเรื่องราวของนกอินทรี เพราะว่าโดยปกติก็ชื่นชอบนกอินทรีเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว นิสัยของนกอินทรีคือ จะไม่ค่อยอยู่รวมกันเป็นฝูง เวลามันบิน มันจะบินได้สูงและไกล ทำให้ดูน่าเกรงขาม และมักจะถูกนำไปใช้เชิงสัญลักษณ์ตามประเทศต่างๆ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา หรือเกาะลังกาวี เป็นต้น

ที่อินทรีถูกนำไปใช้ในเชิงสัญลักษณ์ อาจจะเป็นเพราะว่า วิถีชีวิตของนกอินทรี จะใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ท่องไปบนฟ้ากว้าง ไม่มีใครมาหยุดยั้งได้ เหมือนกับจะบอกให้โลกรู้ว่า ฉันคือผู้ที่สามรถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้ ฉันคือผู้มีความน่าเกรงขาม ฉันคือผู้เข้มแข็ง ฉันคือผู้สง่างาม และฉันคือผู้ที่จะปกครองแห่งเวหา

และผมมีอีกหนึ่งตัวอย่างของนกอินทรี ตัวอย่างนี้ผมได้มาอีกเว็บไซต์นึงในอินเตอร์เน็ต เวลาที่มันฝึกกำลังจะฝึกบินให้ลูกๆ มัน มันจะเริ่มจากการจิกเอาขนนุ่มๆ และใบไม้ออกจากรัง ตามลำดับจนตาเหลือแต่เศษไม้ที่มีหนามแหลมๆ เพื่อให้ลูกๆ ของมันมีสติอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่นอนสบายเหมือนเคย และเอาหนามออก เพื่อฝึกกำลังขาให้แข็งแรงขึ้น ต่อมาก็จะมีการเอาสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดออก จนกว่าลูกๆ ของมันจะปรับตัว และอดทนได้ แสดงว่าพร้อมที่จะฝึกบิน

หลังจากนั้นแม่นกอินทรี จะคาบลูกของมัน บินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า เพื่อสัมผัสกับบรรยกาศในการบิน หลังจากนั้นก็จะมีการปล่อยให้ลูกนกอินทรีลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ให้ลูกนกกระพือปีก แต่ก็ไม่ได้ผล จนตัวเองร่วงหล่นใกล้จะถึงพื้น แม่นกอินทรีจึงบินเข้ามารับตัวไว้ และทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนกว่าลูกนอินทรีจะสามารถบินพร้อมแม่ของมันได้

และแม่นกอินทรี ก็ได้สอนหลักสูตรต่อไปคือการล่าอาหาร ให้กับลูกๆ ของมัน ให้ลูกของมันสามารถหาอาหารด้วยตนเองได้ แม้ว่าในหลักสูตรการฝึกสอนของแม่นกอินทรี จะมีความยากลำบาก แต่มันก็สอนให้รู้ว่า ทุกๆ อย่างในโลก ไม่ใช่ได้มาโดยง่ายดาย มันผ่านการแลกมาซึ่งความดิ้นรน หยาดเหงื่อ แรงกาย แรงใจ และอาจจะมีน้ำตาบ้างในบางครั้ง จนลูกนกอินทรีตัวน้อยๆ สามารถเติบโตขึ้นได้อย่างสง่างาม ปีกกล้า ขาแข็ง และสามารถออกหากินด้วยตนเองได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็เป็นเวลาที่แม่นก กับลูกนกจะต้องแยกทางกัน ทางใครทางมัน เพื่อให้ลูกนกไปสร้างอณาจักรของมันเองต่อไป

แล้วก็จะมาถึงช่วงที่นกอินทรีเติบใหญ่ ในวัย ๔0 ปี มันจะต้องเผชิญกับอุปสรรคอันใหญ่หลวงอีกครั้ง จงอยปากของมันเริ่มงองุ้ม จะจิก จะกินอะไร ก็ทำได้ยาก เช่นเดียวกับเล็บที่ยาว และโค้งงอไม่สามารถจับสัตว์กินเป็นอาหารได้อย่างเก่า อีกทั้งปีกงามก็เกิดขนปกคลุมจนหนาและหนัก ทำการบินแต่ละครั้งเป็นไปด้วยความยากลำบาก ช่วงเวลานี้กินเวลายาวนานถึง ๑๕0 วัน มันมีทางเลือกเพียง ๒ ทางเท่านั้น คือ ปลิดชีวิตตัวเองเสีย หรือรักษาชีวิตให้ดำเนินต่อไป แต่ต้องผ่านบททดสอบที่แสนสาหัสสากรรจ์ หากเลือกหนทางแรก มันเพียงใช้กรงเล็บอันแหลมคมปาดคอตัวเอง ชีวิตที่จะต้องทนทุกข์ทรมานก็จบสิ้นลง แต่หากเลือกหนทางที่สอง มันจะบินขึ้นสู่ภูเขาหินสูงแล้วเคาะจงอยปากของมันกับหินนับร้อย นับพันครั้ง เพื่อให้จงอยปากของมันหลุดออกมา จากนั้นก็ต้องเคาะเล็บของตัวเองที่งองุ้มกับพื้นหินแข็งๆ เพื่อให้เล็บหลุดออกทีละเล็บๆ จนหมดสิ้น ทั้งต้องจิกขนที่หนาเตอะตรงอกและปีก ออกทีละชิ้นๆจนไม่มีเหลือ แน่นอนว่ากระบวนการเหล่านี้คือความเจ็บปวด และความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส แต่ครั้นเวลาผ่านไปจนครบ ๑๕0 วัน รางวัลที่มันจะได้รับก็คือ จงอยปากที่งอกออกมาใหม่สวยงามกว่าเดิม เช่นเดียวกับขนที่สวยงาม และเล็บอันแหลมคมเหมาะแก่การดำรงชีวิต และล่าสัตว์ แต่สิ่งสำคัญคือ มันจะมีชีวิตต่อไปได้อีก ๓0 ปี เป็นชีวิตที่สง่างามและมีเกียรติ ด้วยผ่านบททดสอบอันยิ่งใหญ่ของชีวิตมาได้ มันจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยปีกที่ทรงพลัง และความมั่นใจมากกว่าเดิม

(เป็นข้อมูลทั้งหมดจากเว็บ http://www.oknation.net/blog/wingslife/2013/08/31/entry-2)

มันทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า คนเรากว่าจะที่เข้มแข็ง กว่าที่จะประสบความสำเร็จ กว่าจะสง่างามเฉิดฉายในสังคมได้ มันต้องผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วน ขอแค่เราอดทน ผ่านพ้นมันไปให้ได้ สักวันนึงที่เป็นวันที่มีค่า วันแห่งความสำเร็จที่หอมหวานจะมาหาเราเอง
เหมือนนกอินทรี ที่กว่ามันจะบินได้อย่างสง่างามขนาดนี้ มันต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้บางครั้งมันจะเกือบตายจากการบิน แต่มันก็ยังมีแม่นกอินทรี ที่คอยเป็นโค้ช ช่วยในการฝึกบินให้

นี่เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ผมอยากจะกล่าวถึงที่สุด คือการมีพี่เลี้ยงอยู่เคียงข้างเรา ในการเดินทางสู่ความสำเร็จ ในตอนที่ลูกนกอินทรีกำลังฝึกบิน ก็จะมีแม่นกอินทรีเป็นโค้ชอยู่ใกล้ๆ เสมอ เพื่อฝึกให้ลูกๆ สามารถบินได้อย่างสง่าผ่าเผย ถ้าไม่มีแม่นกอินทรีอยู่เป็นโค้ชให้ ลูกนกอินทรีแต่ละตัวก็จะบินไม่ได้ และก็คงอดตายในที่สุด

และได้ข้อคิดอีกอย่างคือ ความกล้าที่จะลงมือทำ อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม่นกอินทรี ฝึกให้ลูกของมันตัวมีความกล้าที่จะบิน กล้าที่จะออกหาอาหารด้วยตนเอง และทำซ้ำจนเป็นนิสัย แน่นอนว่าในช่วงแรกเราอาจจะมีความกลัวสารพัดที่จะกลัว กลัวจะตก กลัวจะบินไม่ได้ แต่สุดท้ายถ้าไม่ลงมือบินจริงๆ มันก็บินไม่ได้อยู่ดี สู้ฝึกบินจริงๆ ให้บินได้จนเป็นนิสัยไปเลย

มันก็เหมือนกับคนน่ะแหละครับ ในทำธุรกิจ หรือเป็นนักกีฬา หรือจะงานในวงการบันเทิง สิ่งสำคัญ คือโค้ชที่ฝึกให้เราสามารถทำเป็นและมีความเชียวชาญในงานนั้นๆ จนเราสามารถทำด้วยตัวเองได้แล้ว เราถึงออกไปทำเอง และเมื่อเราประสบความสำเร็จ เราต้องมีลืมบุญคุณผู้ที่เป็นโค้ชให้กับเรา โค้ชคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเรา ถ้าเราไม่มีโค้ช เราก็คงไม่มีวันนี้ที่เราประสบความสำเร็จ และชัยชนะ จงอย่าลืมนะครับ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คือการสำนึกในบุญคุณของผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเราทุกคน



ได้ข้อคิดอีกอย่างคือ บางครั้งชีวิตของเรามันก็ถึงช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ ที่ต้องตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไป จะอยู่ต่อไปเพื่อแลกกับความเจ็บปวดทรมาณในระยะเริ่มต้น หรือจะปลิดชีวิตตัวเองทิ้งไปในตอนนั้น มันขึ้นอยู่กับการเลือกของเราจริงๆ 

ชีวิตของนกอินทรี ทำให้เรารู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาฟรี บางครั้งมันก็ต้องแลกกับความเจ็บปวดทรมาณ แลกกับหยาดเหงื่อ แลกกับน้ำตา แต่รางวัลของการแลก มันก็คุ้มค่าที่จะแลกมันมาไม่ใช่หรือ