- ทักษะของการฟัง
การฟังในที่นี้ไม่ใช่แค่ได้ยินผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาเท่านั้น แต่เป็นการฟังอย่างตั้งใจว่า อีกฝ่ายพูดอะไร และต้องการสื่อสารอะไรให้เรารับรู้ การฟังที่จะทำให้เราได้รับข้อมูลที่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
คนส่วนใหญ่ เปิดที่การฟังให้กับคนใกล้ตัวไม่ถึง 100% ทำให้เขาไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน และทำให้มีปัญหาในการสื่อสารในที่สุด ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการสื่อสาร คือการเปิดพื้นที่การฟังแบบ 100% ฟังแบบประมาณว่า เราเป็นโง่ เราไม่เคยรู้อะไรมาก่อน และมีความใคร่กระหายที่จะเรียนรู้ผ่านการฟัง
คงไม่มีใครชอบหรอก กับการที่เจอหน้าใครก็พูดแต่เรื่องของตัวเองอย่างเดียว ที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าในทางกลับกัน เราเลือกที่จะฟัง และถามเรื่องความเป็นอยู่ของเขา แน่นอนว่า นี่เป็นประตูใจด่านแรกที่เขาจะเปิดให้เราก้าวเท้าเข้าไปข้างในได้
อย่าลืมนะว่า ร่างกายมนุษย์เราก็เป็นปริศนาธรรมเช่น เรามีหู 2 หู แต่เรามีปาก 1 ปาก นั่นหมายความว่า เราต้องฟังให้มาก พูดให้น้อย จะทำให้เราได้เรียนรู้อะไรที่มากขึ้นจากการฟัง - ทักษะการพูด

ทักษะของการพูด ก็เป็นสิ่งสำคัญรองจากการฟัง เพราะการพูดนั้นจะเป็นการสื่อสารสิ่งที่เราต้องการอยากจะให้ผู้อื่นได้เข้าใจสิ่งที่เราอยากจะผู้อื่นรับรู้ หรือปฏิบัติตาม แต่การพูดส่วนใหญ่แล้วคนเรามักจะพูดแต่เรื่องลบๆ เรื่องที่ทำให้หมดพลัง ต่อว่า ตัดพ้อตัวเอง ที่มันเป็นพลังงานลบทำให้เราสภาพจิตใจของตัวเองดิ่งลงเหว หมดพลัง หมดไฟที่จะทำอะไรต่อไป
ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ การพูดกับตัวเอง หรือ self talk ทุกวันนี้เราถามตัวเองสิว่า เราพูดเรื่องอะไรกับตัวเองบ้าง เรื่องที่เราพูด เป็นเรื่องที่ทำให้ตัวเองมีพลังหรือ มีกำลังใจ หรือมีความมั่นใจมากขึ้นไหม บางทีเราก็ไม่ต้องพูดสุภาพกับตัวเองก็ได้ แต่คำพูดที่เราพูดกับตัวเองนั้น ควรจะเป็นคำพูดที่ปลุกพลังให้เรามีชีวิตชีวามากขึ้น มีพลังมากขึ้น เพราะมันจะคนที่อยู่ใกล้ตัว จะสัมผัสได้ถึงพลังที่เอ่อล้นออกมา ทำให้เขาพลอยรู้สึกได้รับพลังนั้น ได้รับความมั่นใจเพิ่มขึ้นไปด้วย
เมื่อคนใกล้ตัวสัมผัสได้จากสิ่งที่เราส่งออกจากคำพูด จากความมั่นใจของเรา เราจะสามารถสื่อสารกับเขาได้ง่ายขึ้น เพราะเขาเห็นความชัดเจนของเรา อยู่ใกล้เรา ได้คุยกับเราแล้วทำให้เขารู้สึกมีความสุขไปกับเราได้
แต่บางทีเรื่องนี้มันก็ไม่ได้ฝึกกันง่ายๆ มันต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะการที่จะฝึกให้คนเรามีวิธีคิดที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดี มองทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ใครทุกคนจะฝึกได้สำเร็จหมด เพียงแต่ว่ามันต้องอาศัยความตั้งใจจริง เพราะคนส่วนใหญ่ จะติดนิสัยชอบอ่อนน้อมถ่อมตน เกรงใจ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดนะ แต่บางทีเราสิ่งเหล่านี้ผิดที่ ผิดเวลาไปหน่อยเท่านั้นเอง และติดนิสัยชอบคิดลบ ชอบปลงกับอะไรที่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะปลงในเวลานี้ เลยทำให้เวลาเขาพูดกับตัวเอง เขาจะไม่มีความมั่นใจ เมื่อไม่มีความมั่นใจ ก็จะขาดพลังในการพูด เมื่อขาดพลังในการพูด ก็ทำให้คนที่อยู่ใกล้ตัวอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอึดอัด คุยด้วยแล้วไม่อยากจะคุยต่อ เพราะคุยแล้วไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญ เราก็ควรฝึกทักษะการพูดในการเสริมพลังงานด้านบวกให้กับตัวเองด้วย เมื่อเราคิดบวก เราก็จะพูดบวก มันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเราคิดแล้วจะพูดบวก แล้วคิดบวกจะพูดลบ เวลาเราคิดอะไร เวลาพูดเราก็จะพูดตามนั้น
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เราควรจะคิดทุกอย่างก่อนจะพูด แต่ไม่ใช่พูดทุกอย่างที่คิด เพราะคำพูดนั้นสามารถทำลายได้ แม้กระทั่งชีวิตคน และในขณะเดียวกันมันก็สามารถสร้างชีวิตคนได้เหมือนกัน
และในแต่ละคนก็ใช้คำพูดไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละคนทุกเลี้ยงดูมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ดังนั้นภาษา คำพูดที่ใช้พูด ก็จะแตกต่างกันไปตามสภาพกันเลี้ยงของแต่ละคนด้วย ฉะนั้น ควรจะคิดให้ดีๆ ก่อนจะพูดอะไร และคนที่เราพูดด้วยนั้นเป็นใคร - แน่นอนว่า บุคคลิกภาพก็เป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกันสำหรับคนที่ต้องการจะเป็นผู้นำ เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับความหน้าเชื่อถือ ของคนที่จะตามเรามาด้วย เพราะฉะนั้นบุคคลิกภาพของผู้นำ จะต้องเป็นบุคคลิกที่เรียบร้อย เสื้อผ้า หน้าผม ตั้งแต่หัวจรดปลายรองเท้า ที่สำคัญคือเรื่องกลิ่นปาก กลิ่นตัว กลิ่นเท้า เป็นอะไรที่ต้องซีเรียสที่สุด เวลาที่เราคุยกับคนอื่น ถ้ามีกลิ่นปากออกมานี่ มันเริ่มเสียบุคคลิก กลิ่นตัว กลิ่นเท้า ก็ต้องดูแลให้ดี ความสะอาดของเสื้อผ้า ร่างกายก็ต้องดูแลให้ดี เพื่อให้เกิดความมั่นใจ อย่าลืมว่า first impression ก็เป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน ในการเจอหน้ากับคนอื่นๆ อย่าพยายามทำให้ตัวเองเหงื่อออกเยอะเกินไป เพราะเหงื่อจะทำให้เกิดกลิ่นกาย และกลิ่นอับในรองเท้า เวลาที่เราคุยกับใครกลิ่นออก จะทำให้เราเสียบุคลิก และเสียเครดิตได้ ฉะนั้นเรื่องบุคคลิกภาพต้องดูแลให้ดี
- สัจจะวาจา พันธสัญญา
จะว่าเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพันธะสัญญา ก็อาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดก็ได้ เพราะการที่เราลั่นคำพูดอะไรไปนั่น มันเหมือนคำศักดิ์สิทธิ์ ที่จะบังคับให้เราทำตามในสิ่งที่เราพูดไป
ผู้นำในตำนานทุกๆ คน ก็จะเป็นเช่นนั้น ถ้าเราให้สัญญากับใครไว้แล้ว ทำไม่ได้ขึ้นมา ก็เท่ากับว่า เรากำลังทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจ กำลังทำลายเครดิตที่มีต่อกันลง เหมือนดั่งที่ นโปเลียน โบนาปาด แห่งฝรั่งเศษเคยกล่าวไว้ว่า "การรักษาสัญญาที่ดีสุด คือการไม่ให้คำมั่นสัญญากับใคร"
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ จะโยนวิสัยทัศน์ตัวเองออกไป และเดินตามคำพูดนั้นเสมอ โดยไม่ปล่อยให้คำพูดตัวกลายเป็นอากาศลอยจางหายไป เพราะคนที่ฟัง เค้าก็คาดหวังจากในคำพูดนั้นเหมือนกัน
นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถึงมากที่สุด และจำเป็นต้องศึกษาให้ดี เพราะสิ่งเหล่านี้มันมีติดตัวอยู่ในคนทุกคนอยู่แล้ว และอีกอย่างมันฝึกฝนกันยากมาก และยากที่จะถ่ายทอดเช่นกัน เพราะมันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเท่านั้น ว่าจะให้ความสำคัญกับ สัจจะวาจา พันธสัญญาขนาดไหน
หลายๆ คนลั่นวาจาไปแล้ว ก็อาจจะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังดีที่ได้ทำตามที่ลั่นไป แต่หลายๆ คนกลับแย่กว่านั้น ลั่นวาจาไปแล้ว กลับไม่ยอมลงมือทำอะไรเลยก็มี สุดท้ายก็เหมือนกับพวกที่ดีแต่ปากนั่นแหละ คอยมอบความหวังให้ชาวบ้านแบบลมๆ แล้งๆ แต่ไม่มีผลงานอะไรให้เห็น คนพวกนี้นอกจากชาวบ้านจะไม่รักแล้ว ยังโดนด่าซ้ำกลับมาอีก
ฉะนั้นก่อนจะสัญญาอะไรออกไป ขอให้ใตร่ตรองให้แน่ใจซะก่อนว่า เราจะสามารถทำตามที่สิ่งที่เรากำลังพูดไปได้จริงๆ ถ้าหากไม่แล้ว อย่าสัญญาอะไรโดยพลการดีกว่า - ความเป็นผู้ให้หลายๆ คนคงจะทราบดีว่า ภาวะความเป็นผู้ให้นั้น ก็เป็นภาวะที่ต้องฝึกเหมือนกัน เราเคยได้คำพูดว่า "จิตของผู้ให้ย่อมสง่า จิตของผู้รับย่อมน้อบน้อม" ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คนที่เราความคิดที่เราอยากจะให้ผู้อื่น เราจะมีความสุขมากกว่าขอจากผู้อื่น แต่จริงๆ แล้วการ "ขอ" ก็ไม่ผิดหรอก แต่การ "ขอ" ต้องมาพร้อมกับความเชื่อว่า เราได้รับแล้วมันแล้วจริงๆ ซึ่งมันก็เป็น the secret อย่างนึงนะ แต่ในที่เราจะพูดถึงเรื่องของการ "ให้" มากกว่า
การที่เราจะอยู่สภาวะจิตของการให้ มันขึ้นอยู่กับวิธีคิดเราว่า เรากำลังคิดอะไรกับคนที่เราจะให้ เราปราถนาดีกับเขาหรือเปล่า เราต้องการอะไรตอบแทนจากเขาหรือเปล่า ถ้าเราคิดว่า เรากำลังจะไปเอาอะไรจากเขา แน่นอนว่าเขาจะมีกำแพงบางๆ กั้นไว้อยู่ เพราะจะไม่สามารถที่จะเข้าไปได้เลย เพราะฉะนั้นสภาวะจิตของความเป็นผู้ให้นั้นก็สำคัญ
คือเราต้องมองอย่างนี้ เราต้องทำในสิ่งที่เราไม่คาดหวังผลตอบแทน เราทำเพื่อวัตถุประสงค์เดียวคือ ต้องการให้ชีวิตของเขาเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แค่นั้น ถ้าเขาไม่ประสงค์เช่นนั้นก็จงปล่อยให้เค้าใช้ชีวิตอย่างเดิมไป จงอย่าไปคาดคั้น จงไปอย่าไปบีบบังคับ เพราะโดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่ไม่ชอบการถูกบังคับ ยกเว้นว่า จะยินยอมให้บังคับ
ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ นายเอกับนายบี เป็นเพื่อนกันมาสมัยเด็ก จนถึงปัจจุบัน เวลานายบีเดือดร้อน ก็ได้รับการช่วยเหลือจากนายเออยู่ตลอด อยู่มาวันนึงนายเอถูกรางวัลที่ 1 เงินรางวัลประมาณ 30 ล้านบาท นายเอนำไปแลกรางวัล ปรากฏว่าเครื่องนับเสียทั้งหมด ต้องนั่งนับมือ กว่าจะเสร็จล่อไปเที่ยงคืน จนถึงเกือบตี 2 พอนับเสร็จ แลกรางวัลเรียบร้อย กำลังจะเอาเงินไปให้นายบี ที่เป็นเพื่อนสมัยเด็ก 4 แสน พอไปถึงหน้าบ้านนายบี ตกเวลาประมาณตี 3 เกือบตี 4 ลองเดาดูสิ ว่านายเอจะทำยังไง ต้องการเอาเงินให้เพื่อน 4 แสน คิดว่านายเอจะกล้าปลุกเพื่อนไหม แน่นอนเค้ากล้าแม้กระทั่งหาหินปาขึ้นไปบนห้อง เพื่อให้นายบีลงมาเอาเงิน แต่ถ้านายบีไม่รับเงินของนายเอ นายเอจำเป็นต้องลงไปนอนร้องไห้กับพื้นไหม ว่านายบีไม่รับเงินเขาเนี่ยะ นายเออาจจะคิดว่า "เออ ดี เงินอยู่ครบ จะได้เอาไปให้คนอื่นต่อ"
แต่ถ้าเป็นในทางกลับกันสำหรับผู้ขอ หรือผู้รับ ขอยกตัวอย่างนางซี กับนางดี ก็แล้วกัน วันนึงนางซีต้องการใช้เงินด่วนจำนวน 5 หมื่นบาท กำลังจะไปขอยืมนางดี ที่เป็นเพื่อนสนิท พอไปถึงหน้าบ้านนางดี ช่วงเวลาเย็น ปรากฏว่านางดีกำลังเตรียมกับข้าวเตรียมอาหารให้ลูกอยู่ จะพูดเรื่องเงินก็ไม่ได้ด้วยความเกรงใจ จึงตัดสินใจรอ ครอบครัวเค้าทานอาหารเสร็จ ก็กำลังจะไปกดออด แต่นางซีเห็นนางดี กำลังนั่งดูละครตอนจบอยู่กับครัว สำคัญมาก ไม่กล้ากดเกรงใจ จึงรอจนละครจบ ปรากฏว่าลูกเค้าหาวแล้ว กำลังจะพาลูกเข้านอน จะพูดเรื่องเงินก็ไม่ได้ สรุปแล้ววันนั้นไม่ได้เงิน
นี่แหละ ที่บอกว่า "จิตของผู้ให้ย่อมสง่า จิตของผู้รับย่อมน้อบน้อม" ที่จริงก็สามารถเลือกที่จะเป็นทั้งสองสิ่งในคนเดียวกันก็ได้เช่นกัน
วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558
เคล็ดไม่ลับในการครองใจผู้คน
มีหนังสือมากมายหลายเล่ม ที่เขียนเกี่ยวกับเคล็ดลับในการครองใจผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่ ก็จะกล่าวไว้เหมือนๆ กัน ในการที่จะเข้าไปอยู่ในใจผู้คนได้นั้น ก็อีกหนึ่งทักษะสำคัญที่ผู้นำควรจะเรียนรู้ไว้ เพราะการที่ผู้นำจะทำงานกับนับร้อย นับพัน นับหมื่นได้ เขาจะเป็นผู้ที่มีความสามารถในการสื่อสารให้ถึงใจ และการช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งจะมีทักษะที่สำคัญ ดังนี้คือ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น